“ถ้าอุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเกินค่าเฉลี่ย 1.5 องศาเซลเซียส ต่อให้พวกเราพยายามอย่างสุดแรงแล้ว ก็ยังยากที่มนุษย์จะปรับตัวต่อภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นได้”
ไอพีซีซีบอกอีกว่า…ถ้าพวกเราไม่ลงมือทำอะไรเลยตอนนี้ ทั้งการปรับพฤติกรรมชีวิตประจำวัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรับมือช่วยฟื้นตัวจากภาวะโลกร้อน…ก็อาจแย่และสายเกินแก้
เพราะอัตราการเพิ่มสูงของอุณหภูมิดังกล่าว จะทำให้ร้อยละ 8 พื้นที่เกษตรกรรมทั่วโลกเพาะปลูกไม่ได้จากความแห้งแล้งหรือน้ำท่วมต่อเนื่องยาวนาน
และถ้าเพิ่มสูงอีก 2 องศาเซลเซียส ชาวโลกราว 3,000 ล้านคนต้องขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคเพาะปลูกและทำประมง…
เด็กในแอฟริการาว 1.4 ล้านคน ต้องประสบกับภาวะขาดสารอาหารกระทบต่อการเจริญเติบโต
และหากสูงเกิน 3 องศาฯ จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและภูมิอากาศรุนแรงมากกว่า 5 เท่า น้ำทะเลจะสูงขึ้น ฝนตกรุนแรงหนักเศรษฐกิจโลกจะสาหัสเพิ่มเป็น 4 เท่าจากปัจจุบัน สัตว์โลกและพืชพรรณร้อยละ 29 ทั่วโลกจะล้มหายและสูญพันธุ์…เอาเป็นว่า “ไอพีซีซีไม่ได้เขียนเสือให้วัวกลัว”
ดังนั้น…จึงต้องย้ำเมื่อมนุษย์ต้องการให้โลกสยบปัญหาก็ต้องช่วยกันแก้ ด้วยวิธีลดปล่อยมลพิษเพื่อสร้างทางเลือกของการพัฒนา…โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ประเทศไทยนัยว่าทำแล้ว…คือลดก๊าซเรือนกระจก 20-25% ในปี 2548 และจะลดให้ได้ 50% ปี 2573 หรืออีก 8 ปีโน่น…โดยไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับ 20 ของโลก เท่ากับ 0.8% จากทั่วโลก ในขณะอันดับ 1 คือจีน สองคืออเมริกา…สองพี่เบิ้มผู้น่าเกรงขาม
ด้วยกันทั้งคู่
แหล่งปล่อยก๊าซดังกล่าวบ้านเราพบว่า หนึ่งคือภาคพลังงาน สองภาคเกษตรกรรม สามภาคอุตสาหกรรม และสี่ภาคของเสียที่ไม่ต้องการ…สิ่งที่สัมผัสได้ในไทยต่อการลดก๊าซที่ว่า ได้แก่ ภาคพลังงานและอุตสาหกรรม ที่ขับเคลื่อนนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาใช้อย่างที่เรียกกันว่า “อีวี”
โจทย์เป็นมิตรแสนดีกับสิ่งแวดล้อม…ตรงปกด้วยไร้เชื้อเพลิงเจ้าของฉายา “โลว์คาร์บอน”
ปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกเผยว่า…มีรถพลังงานไฟฟ้า 100% แบรนด์ยุโรป ญี่ปุ่น จีน จดทะเบียนใช้งานแล้วกว่า 5,381 คัน และเป็นไฮบริดลูกผสมใช้ไฟฟ้าสลับน้ำมัน 203,426 คัน…ใหม่ๆกระแสผู้คนคิดว่าเป็น “รถคุณนายจ่ายตลาด” แล่นได้ระยะใกล้ๆภายในหมู่บ้าน
ที่ไหนได้…ทุกวันนี้เทคโนโลยีได้พัฒนาก้าวไกล มีสถานีไฟฟ้ารองรับมากทั้งในเมืองหลวงและภูธรต่างๆ โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลักรวมเมืองรอง หนุนค่ายรถเจ้าของแบรนด์ นำมาทำโปรโมชันขายรถโลว์คาร์บอนแล้วชวนท่องเที่ยว
ล่าสุดเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บ.เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้จัดสมาชิกขับรถโลว์คาร์บอนไปท่องเที่ยวจังหวัดระยอง ดินแดนปีกหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก
โดย ททท.ระยอง เป็นโต้โผพิมพ์เขียวรายการนำเที่ยวเคมีปลอดมลพิษให้ไปชมดอกไม้เมืองหนาว ศึกษาสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้า สัมผัสสวนพฤกษศาสตร์ ศูนย์ศึกษาวิจัยและรวบรวมพรรณไม้ภาคตะวันออก แล้วล่องเรือดูพื้นที่ชุ่มน้ำพรรณไม้ท้องถิ่นปลอดมลพิษ
ก่อนจับเข่าคุยกันเรื่อง “โกกรีน, โลว์คาร์บอน เจอนี่” วันรุ่งขึ้นเที่ยวทุ่งโปรงทองที่อากาศบริสุทธิ์ ชมวิถีชุมชนประมงปากน้ำประแส สุดท้ายทำกิจกรรมจิตอาสาเก็บขยะปลูกป่าชายเลน 350 ต้น และเรียนรู้การคัดแยกประเภทขยะเพื่อกำจัด
“การท่องเที่ยวรูปแบบนี้ไม่ใช่ของใหม่ เราเริ่มครั้งแรกเมื่อปี 2551 เรียกโครงการนี้ว่า 7 กรีนส์” วัชรพล สารสอน ผอ.ททท.ระยอง บอก
คือ…เที่ยวด้วยหัวใจสีเขียวรู้คุณค่าธรรมชาติ ใส่ใจการเดินทางโดยเซฟพลังงาน ลดก๊าซเรือนกระจก รักษาแหล่งท่องเที่ยวให้ยั่งยืน พร้อมอนุรักษ์วิถีชุมชนให้เข้มแข็ง สร้างกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างใส่ใจ บริหารจัดการธุรกิจโดยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“และ…สุดท้ายทุกคนพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่ง แวดล้อม…ครั้งนี้ถือเป็นมิติใหม่มาเติมเต็มตามแนวทางเดิม 7 กรีนส์”
การท่องเที่ยวต่อยอดหัวใจสีเขียวทั้ง 7 สร้างคอนเทนต์เที่ยวด้วยรถลดคาร์บอน ททท.ระยอง ได้บรรจุกลุ่มผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าซึ่ง
ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และภูมิภาคตะวันออกกับภูมิภาคใกล้เคียง เช่น อีสานตอนล่างไว้ในแผนตลาดปีหน้าเป็นเซ็กเมนต์หนึ่งสำหรับการบุกเจาะตลาดเพื่อดึงคนกลุ่มนี้มาเที่ยวระยอง
…ซึ่งมีศักยภาพทางการท่องเที่ยว เช่น ชายทะเล เกาะเสม็ดโลกใต้น้ำเกาะทะลุ สวนผลไม้ กิจกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโรงแรมที่พัก ร้านอาหารทะเลสด กับสินค้าอาหารทะเลแปรรูป
“ปีนี้ระยองมีนักท่องเที่ยวตั้งแต่มกราคมถึงกันยายน 5.15 ล้านคน ล้วนเป็นคนไทย ต่างชาติมีแค่ 2.43 หมื่นคน ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับ ช่วงก่อนโควิดระบาด
ภาพรวมรายได้อยู่ที่ 2.20 หมื่นล้านบาท แนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆเมื่อรัฐบาลเลิกภาวะฉุกเฉิน และสถานการณ์คลี่คลายจนนักท่องเที่ยวเริ่มมั่นใจ”
สำหรับยุทธศาสตร์ขายท่องเที่ยวเจาะกลุ่มใช้รถพลังงานไฟฟ้า ในเบื้องต้นสร้างการรับรู้ถึงความเป็นเมืองท่องเที่ยวในพื้นที่ผ่าน
สื่อออนไลน์…ออฟไลน์ และส่งเสริมการขายด้วยการให้อินเซ็นทีฟช่วยกระตุ้น
เช่น ส่วนลดราคาห้องพักต่ำกว่าปกติจากธุรกิจพันธมิตร หรือการใช้บริการร้านอาหารทะเลชื่อดังฟรี 1 มื้อ อีกทั้งสิทธิซื้อสินค้าและบริการในแหล่งท่องเที่ยวราคาพิเศษ
“เงื่อนไขง่ายๆคือต้องเดินทางมาระยองโดยรถพลังงานไฟฟ้าแบบ 100% หรือลูกผสมแต่ใช้ไฟฟ้า โดยพักและท่องเที่ยวระยองตั้งแต่ 1 คืนขึ้นไป รู้จักสร้างบรรยากาศเดินทางแบบกรีน โลจิสติกส์ ลดโลกร้อนด้วยรถอีวีเป็นหมู่คณะเริ่มต้นที่ 5 คัน สุดท้ายด้วยกรีนเซอร์วิสจิตอาสาเก็บเศษสิ่งปฏิกูลยังแหล่งท่องเที่ยว”
สำหรับสถานีบริการชาร์จไฟฟ้า วัชรพล ย้ำว่า ไม่มีปัญหา ระยองมีอยู่ 10 กว่าแห่ง ทั้งในตัวอำเภอเมือง อำเภอรอบนอกอย่างเช่นที่
นิคมพัฒนา บ้านฉาง แกลง…
ทั้งหมดที่กล่าวมาเหล่านี้คือคำตอบที่จะกระซิบบอกกับ ไอพีซีซี ว่า… “ประเทศไทย”โดย ททท.ระยอง ทำแล้วด้วยการหนุนท่องเที่ยวที่ปราศจากคาร์บอน.