นายรชต ลีลาประชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย-เยอรมัน โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGPRO ผู้ผลิตและจำหน่ายท่อสแตนเลส ภายใต้เครื่องหมายการค้า “TGPRO” เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2565 มีแนวโน้มที่ดีจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นธุรกิจ ซึ่งถือเป็นช่วงที่มีปริมาณความต้องการใช้ท่อสเตนเลส อุตสาหกรรมมากที่สุดของปี เพื่อใช้ในการบำรุงรักษาเครื่องมือของกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมภายในประเทศ อาทิ โรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหาร, นม และ โรงงานผลิตน้ำตาลเพื่อรองรับการขยายปริมาณการผลิตเนื่องจากราคาน้ำตาลมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าถึงปี 2566
อีกทั้งบริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายตลาดต่างประเทศ เพิ่มประเภทสินค้าท่ออุตสาหกรรมสเตนเลสที่มี มาร์จิ้นสูง นอกจากท่อสเตนเลสอุตสาหกรรมมาตรฐานฟู้ดเกรดให้มีความหลากหลาย อาทิ ท่อสเตนเลสแบบไร้ตะเข็บ (Seamless Pipe) และ ท่อสเตนเลสแรงดันสูง เพื่อสอดรับกับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ธุรกิจร้านค้าและช่องทางการจัดจำหน่าย ทูเดย์สเตนเลส ภายใต้การบริหารงานของบริษัท โฮม เดคโค่ จำกัด (บริษัทย่อย) ผู้ให้บริการจำหน่ายท่อเหล็กงานก่อสร้าง งานเฟอร์นิเจอร์ และ อะไหล่อุปกรณ์ที่ใช้ในงานสเตนเลส ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งสิ้น 4 สาขา ได้แก่ สาขาบ้านฉาง และ สาขาเชิงเนิน จังหวัดระยอง, สาขาพัทยา จังหวัดชลบุรี และ สาขาจังหวัดขอนแก่น ซึ่งบริษัทมีแผนขยายธุรกิจในจังหวัดต่างๆอีกจำนวน 4 แห่ง รวมสาขาการให้บริการครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศทั้งหมด 8 สาขา
นอกจากนี้บริษัท เวิลด์ คลาส สมาร์ท ฟาร์ม จำกัด (บริษัทในเครือ) ผู้ให้บริการโรงเรือนเพาะชำสเตนเลสพร้อมติดตั้งระบบและผลิตภัณฑ์เกษตรอัจฉริยะ จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผลไม้และผัก ภายใต้ตราสินค้า “ฟูจิ เมจิ” ได้ดำเนินการเพาะปลูกกัญชงหลังดำเนินการขออนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นที่เรียบร้อย จำนวน 53 โรงเรือน โดยนำผลผลิตส่งโรงงานอุตสาหกรรมสกัดน้ำมันเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยา คาดว่าจะเริ่มมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจดังกล่าวในช่วงไตรมาส 4/2565
“ช่วงครึ่งปีแรก บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้ดี จากการผลิตและจำหน่ายสินค้าท่อสเตนเลส ประเภทต่างๆ โดยเฉพาะท่อสเตนเลสอุตสาหกรรมอาหารและยา, ท่อน้ำแข็งปลอดเชื้อ, ท่อสเตนเลสส่งผ่านความร้อน และ ท่อสเตนเลส Extuba เกลียวนอก (Extuba Turbo Tube) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและเป็นสินค้ามาร์จิ้นสูง อีกทั้ง ยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ปัจจัยด้านราคาวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวตามอีกด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมแผนการดำเนินงานรอบรับเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการตลาดที่อาจมีความเปลี่ยนแปลง โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายให้เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 2,000 ล้านบาท” นายรชต กล่าว
ทั้งนี้บริษัทติดตามปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม ได้แก่ ราคาต้นทุนวัสดุและการขนส่ง, สถานการณ์เงินบาทอ่อนค่า และ อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ควบคู่กับการวางแผนกลยุทธ์ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจมีการผันผวนในอนาคต