ตร.รวบ 3 คนร้ายขโมยลิฟต์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าจากอาคารที่กำลังก่อสร้าง รวมกว่า 2 ล้าน รับสารภาพค่อยๆ ตัดเป็นชิ้นส่วนขนขายร้านของเก่า ใช้เวลา 5 วัน ตร.คุมตัวทำแผน เจ้าของเหลืออดต้องกระโดดสกายคิกใส่
จากกรณี นายเนตรวิสิฐ พิสิฐธนรัตน์ อายุ 54 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้เข้าแจ้งความจับคนร้ายที่ สภ.มาบตาพุด จ.ระยอง กรณีที่คนร้ายเข้าไปขโมยทรัพย์สินภายในโครงการก่อสร้างอาคาร 5 ชั้น ริมถนนสาย 363 ใกล้สี่แยกเนินสำลี ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง โดยมีทรัพย์สินที่ถูกขโมยไป ประกอบด้วย ลิฟต์ 2 ตัว, แอร์คอนดิชั่น, กล้องวงจรปิด, กระจก และสายไฟฟ้า มูลค่ากว่าสองล้านบาท ขณะเข้าตรวจสอบอาคาร พบคนร้ายกำลังงัดมอเตอร์ของลิฟต์ จึงแจ้งตำรวจมาจับกุม ทราบชื่อ นายสมชาย อายุ 45 ปี อ้างว่าทะเลาะกับเมียจึงเข้ามาเก็บของเก่า ตร.จึงคุมตัวสอบสวนเพื่อขยายผลต่อไป ตามที่เสนอข่าว
เกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 พ.ย. 65 พ.ต.อ.ภาสกร ไพจิตย์ ผกก.สภ.มาบตาพุด ระยอง ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.พีระวัฒน์ วงศ์ทอง รอง ผกก.สส.สภ.มาบตาพุด, ร.ต.อ.นิธินันท์ ศรีรุต ร้อยเวรเจ้าของคดี ควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ก่อเหตุขโมยทรัพย์สินภายในอาคาร 5 ชั้น ขณะนี้สามารถจับกุมคนร้ายได้แล้วทั้งหมด 3 ราย ไปทำแผนประกอบการรับสารภาพในอาคารพาณิชย์ 5 ชั้น ริม ถ.363 ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง ที่ถูกขโมยลิฟต์หายไป 2 ตัว พร้อมกับทรัพย์สินอื่น รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท
พ.ต.ท.พีระพัฒน์ ได้กล่าวว่า หลังจากที่จับกุมตัว นายสมชาย บิลหะยีอาระซัน อายุ 48 ปี ที่กำลังก่อเหตุลักทรัพย์ภายในอาคารเกิดเหตุ จึงควบคุมตัวมาสอบสวนจนรับสารภาพว่า เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตนเองได้มาเดินหาเศษเหล็กรอบอาคารดังกล่าว จนกระทั่งได้เข้าไปภายในอาคารซึ่งไม่มีคนเฝ้า แล้วได้พบกับกุญแจลิฟต์ จึงไขเข้าไปภายในลิฟต์ โดยต่อมามี นายเฉลิมวงศ์ วัชวงศ์ อายุ 38 ปี และ นายขุนพล ถือคุณ อายุ 38 ปี เข้ามาช่วยกันรื้อถอดลิฟต์ออกเป็นชิ้นส่วน หลังจากนั้นก็ใช้เลื่อยตัดเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปขายที่ร้านของเก่า แล้วนำเงินมาแบ่งกัน โดยใช้เวลาในการเข้าไปชำแหละลิฟต์ประมาณ 5 วัน
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวผู้ต้องหาที่ถูกซัดทอดทั้งสองคนมาได้ โดยทั้งสองคนให้การรับสารภาพตรงกันว่า ได้ร่วมกันขโมยลิฟต์และทรัพย์สินอื่น โดยช่วยกันชำแหละ แล้วนำใส่รถจักรยานยนต์ไปขายที่ร้านขายของเก่าแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คนไปทำแผนประกอบการรับสารภาพที่อาคารเกิดเหตุ โดยมี นายเนตรวิสิฐ พิสิฐธนรัตน์ เจ้าของโครงการ มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาผู้ต้องหาทั้งหมดไปชี้ยังจุดช่องลิฟต์ และพื้นที่ที่เข้าขโมยของ โดยนายเนตรวิสิฐ ได้ติดตามการทำแผนอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งมาถึงจุดช่องลิฟต์ด้านข้างที่ถูกขโมยไป นายเนตรวิสิฐถึงกับห้ามอารมณ์ไม่อยู่ จึงใช้ขาเตะไปที่ตัวของหนึ่งในผู้ต้องหา จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามาห้าม หลังจากที่ใช้เวลาทำแผนประมาณ 1 ชม. จึงควบคุมตัวไปดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
พ.ต.ท.พีระพัฒน์ กล่าวว่า จากการสอบผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย และ พยานหลักฐาน เชื่อว่าผู้ก่อเหตุมีเพียง 3 คน โดยใช้เวลาหลายวันในการก่อเหตุทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะได้มีการไปตรวจสอบที่ร้านขายของเก่าที่ทั้งสามคนขนเอาเศษชิ้นส่วนลิฟต์ที่ชำแหละไปขาย เจ้าของร้านก็ยืนยันว่าทั้งสามคนเอาเศษเหล็กมาขายจำนวนมาก แต่เศษชิ้นส่วนลิฟต์ที่ซื้อมาได้นำไปส่งขายโรงหลอมหมดแล้ว จึงควบคุมตัวดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถาน ส่วนเจ้าของร้านของเก่ากันไว้เป็นพยาน โดยไม่ได้แจ้งข้อหา เพราะเป็นการซื้อชิ้นส่วนที่ชำแหละแล้วไปขาย จึงไม่นับว่าเป็นการรับซื้อของโจร
ส่วน นายเนตรวิสิฐ เจ้าของอาคาร ได้กล่าวว่า ตนเองเชื่อว่าคนร้ายน่าจะมีมากกว่า 3 คน และต้องมีการใช้ยานพาหนะเข้ามาขนลิฟต์ออกไป โดยมีร่องรอยล้อรถบรรทุกอยู่รอบอาคาร เพราะลิฟต์ 1 ตัว มีน้ำหนักกว่า 1 ตัน และเหล็กที่ใช้ทำลิฟต์มีความหนามาก เลื่อยตัดเหล็กทั่วไปไม่สามารถตัดได้ จึงเชื่อว่าจะมีการยกไปขายทั้งตัว เพราะลิฟต์เป็นของใหม่แกะกล่อง สามารถนำไปติดตั้งใช้งานได้เลย จึงต้องการให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม เพราะเชื่อว่าคนร้ายต้องมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี และรู้เวลาที่คนไม่อยู่จึงลงมือ สำหรับอาคารแห่งนี้ได้หยุดก่อสร้างไปตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 ระบาด แต่ตนเองก็ขับรถมาดูทุกวัน จนช่วงเกิดเหตุตนเองเดินทางไปทอดกฐินหลายวัน พอกลับมาเข้าไปตรวจสอบพบว่าลิฟต์และทรัพย์สินอื่นหายไปหมดแล้ว.